ก.คลัง ร่วมกับ สตช. รวบแก๊งโกงเงินรัฐ ผ่านโครงการ “คนละครึ่ง” แฉกลโกง รับเป็นเจ้ามือ โอนเงินแต่ไม่ซื้อของ ตร.แจ้งข้อหาร่วมกันฉ้อโกง เสี่ยงติดคุกหนัก 10 ปี เผยข้อมูลเข้าข่ายความผิดอีกกว่า 700 ราย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (18 ธ.ค.63) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจ (รอง ผบ.ตร.) พล.ต.ต.ปัญญา ปิ่นสุข ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผู้บังคับการตำรวจปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ผบก.ปอศ.) นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายพงษ์สิทธิ์ ชัยฉัตรพรสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานกำกับกฎเกณฑ์และกฎหมายธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกันแถลงผลการตรวจสอบและดำเนินคดีผู้ทุจริตในโครงการคนละครึ่ง
ทั้งนี้ จากการดำเนินโครงการ “คนละครึ่ง” สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และธนาคารกรุงไทย ได้ตรวจสอบเบื้องต้นพบความผิดปกติในการใช้จ่ายที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขโครงการ โดยพบรูปแบบการกระทำความผิดอยู่ 2 แบบ คือ ร้านแลกหรือรับเงินเป็นผู้ดำเนินการ และแบบมีเจ้ามือเป็นผู้ดำเนินการจำนวนหลายราย จึงได้มีการระงับการใช้แอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” และระงับการจ่ายเงินให้แก่ร้านค้าดังกล่าว และได้จัดส่งข้อมูลร้านค้าและผู้เกี่ยวข้องที่กระทำผิดเงื่อนไข ให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการ
จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พบการกระทำความผิด มีผลการดำเนินคดี 1 ราย ผู้ต้องหา 4 คน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเป็นบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์เป็นแบบเจ้ามือ โดยใช้เฟซบุ๊ก ชื่อ“สาวิตา รักชีพชอบ” โฆษณาชักชวนให้ประชาชนที่ร่วมโครงการฯ มาแลกรับเงินจากเจ้ามือโดยไม่ต้องมีการซื้อ
จากการตรวจสอบพบธุรกรรมต้องสงสัยมีการสแกนใช้สิทธิ์กับร้านขายของชำแห่งหนึ่งในเขต จ.สมุทรสาคร โดยประชาชนหลายรายมีภูมิลำเนาและที่อยู่ปัจจุบันห่างไกลจากร้านค้าดังกล่าวมาก บางรายอยู่ จ.เชียงใหม่ , จ.สงขลา เป็นต้น แต่กลับมีการใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังกับแอปพลิเคชันถุงเงินของร้านค้า ซึ่งตั้งอยู่ใน จ.สมุทรสาคร ประชาชนได้รับโอนเงินส่วนต่างจากเจ้ามือ จำนวน 80-100 บาท ต่อการทำธุรกรรมใช้จ่ายผ่านร้านดังกล่าว
ต่อมาวันที่ 9 ธ.ค.2563 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และผู้แทนจากธนาคารกรุงไทย ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้าขายของชำที่ ต.คอกระบือ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร พบ น.ส.สมปอง (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 62 ปี แสดงตนเป็นเจ้าของร้านขายของชำดังกล่าว และพบ นายสรัล (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 25 ปีบุตรชายเจ้าของร้านดังกล่าว จากการตรวจสอบพบ 1. โทรศัพท์มือถือที่ใช้ในระบบ G Wallet จำนวน 5 เครื่อง 2.แท็บเล็ต iPad จำนวน 1 เครื่อง 3.คอมพิวเตอร์โน๊ตบุค จำนวน 1 เครื่อง และ 4.บัญชีเงินฝากธนาคาร 6 เล่ม จึงได้ตรวจยึดไว้เป็นของกลางในคดี
จากการสอบปากคำ น.ส.สมปอง เจ้าของร้าน แจ้งว่าการดำเนินการทั้งหมดมี นายสรัลฯ บุตรชายเป็นผู้ดำเนินการ โดยนายสรัลฯ ให้การยอมรับว่าได้ตกลงร่วมมือกับผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “สาวิตา รักชีพชอบ” และใช้ไลน์ชื่อ Jeerapot ในการติดต่อ และเมื่อได้รับเงินจากรัฐบาลได้โอนเงินคืนให้กับเจ้ามือ ผ่านบัญชีธนาคาร ชื่อ นายจีรพจน์ (ขอสงวนนามสกุล)
โดยทางร้านค้าจะได้ผลประโยชน์ 30 บาทต่อราย ส่วนผู้ใช้ไลน์ชื่อ Jeerapot ได้ 30บาทต่อราย คนที่มาขายสิทธิจะได้เงิน รายละ 90 บาท อีกทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ลงพื้นที่สอบสวนปากคำประชาชนที่ใช้สิทธิ์ผ่านร้านค้าดังกล่าวจำนวน 14 จุด ซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ อาทิเช่น จ.ลพบุรี ,ชลบุรี ,ชัยภูมิ ,บุรีรัมย์ ,สุรินทร์ ,เชียงใหม่ ,สงขลา เป็นต้น
และจากการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานตลอดจนการวิเคราะห์เส้นทางการเงินในคดี ทำให้ทราบว่า เจ้ามือ หรือ ผู้ใช้งานเฟซบุ๊คชื่อ “สาวิตา รักชีพชอบ” คือ นายจีรพจน์ (ขอสงวนนามสกุล) และ นางกนกภณณ์ (ขอสงวนนามสกุล) เป็นสามีภรรยากัน อยู่ใน จ.ลพบุรี
ต่อมาในวันที่ 17 ธ.ค.2563 จึงได้แจ้งข้อกล่าวหากับ น.ส.สมปอง (ขอสงวนนามสกุล) ,นายสรัล(ขอสงวนนามสกุล) ,นายจีรพจน์(ขอสงวนนามสกุล) และ นางกนกภรณ์(ขอสงวนนามสกุล) ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น”ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 342(1) อัตราโทษ จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกิน 100,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ทั้งนี้ น.ส.สมปองฯ ให้การปฏิเสธ ส่วน นายสรัลฯ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา นายจีรพจน์ฯ ให้การปฏิเสธ โดยให้การว่า ไม่รู้เรื่องมาก่อน ส่วนนางกนกภรณ์ฯ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยรับว่าร่วมกับนายสรัลฯ ซึ่งนางกนกภรณ์ฯ จะเป็นคนหาลูกค้าประชาชนผ่านเฟซบุ๊ค “สาวิตา รักชีพชอบ” จากนั้นจะนำข้อมูลมาล็อคอินผ่านแอพฯเป๋าตังค์สแกนใช้สิทธิ์ผ่านแอพฯถุงเงินร้านค้าของนายสรัลฯ โดยไม่มีการซื้อขายจริง
จากการตรวจสอบพบว่ายังมีกลุ่มที่อาจจะเข้าข่ายกระทำความผิดในลักษณะนี้อีกกว่า 700 ราย ซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม การดำเนินคดีดังกล่าว แม้คดีฉ้อโกงฯ จะมีอัตราโทษไม่มาก จำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือ ๕ ปี /ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือ 100,000 บาท ก็ตาม แต่การกระทำความผิดในแต่ละครั้ง จะถือว่าเป็นการกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระ หากมีการกระทำความผิดในลักษณะดังกล่าวซ้ำๆหลายครั้ง ก็จะได้รับโทษในแต่ละครั้งในทุกๆครั้ง เมื่อรวมแล้วอาจจะได้รับโทษจำคุก ถึง 10-20 ปี หรือมากกว่านั้น
ดังนั้นขอความร่วมมือประชาชนไม่ให้หลงเชื่อการชักชวนให้กระทำผิดเงื่อนไขโครงการ เพราะทั้งร้านค้าและประชาชนจะถูกตัดสิทธิ์ และจะถูกดำเนินคดีทุกรายซึ่งมีอายุความในการดำเนินคดีถึง 10 ปี
ขณะเดียวกันหากพบพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขโครงการ สามารถแจ้งเบาะแสมาที่ [email protected] หรือส่งไปรษณีย์ลงทะเบียนถึงสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โดยระบุ รายละเอียดของการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไข และข้อมูลสำหรับการติดต่อกลับพร้อมหลักฐาน (หากมี) หรือที่ ตร. ที่เว็บไซต์ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) http://pct.police.go.th/form.php