เมื่อรัฐ-เอกชน ร่วมกันขับเคลื่อนนโยบาย “ยานยนต์คาร์บอนต่ำ” ส่งอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยไปให้ถึงฝั่งฝัน


สืบเนื่องจากการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

(United Nations Framework Convention on Climate Change Conference of the Parties : UNFCCC COP) ครั้งที่ 26 (COP26) เมื่อช่วง 31 ตุลาคม – 12 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา ณ เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ประกาศเจตนารมณ์ไว้ชัดเจนว่า ประเทศไทยพร้อมยกระดับการแก้ไขปัญหาภูมิอากาศอย่างเต็มที่ด้วยทุกวิถีทาง เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี พ.ศ. 2593 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้ในปี พ.ศ. 2608 และด้วยการสนับสนุนจากความร่วมมือระหว่างประเทศ และกลไกภายใต้กรอบอนุสัญญาฯ ประเทศไทยจะยกระดับเป้าหมายการมีส่วนร่วมของประเทศ (Nationally Determined Contributions : NDC) ขึ้นเป็นร้อยละ 40 ได้ ซึ่งจะนำไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้ภายในปี พ.ศ. 2593

 

 

อุตสาหกรรมยานยนต์ นอกจากจะเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะช่วยผลักดันนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอนแล้ว ยังเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มี output ที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนในเรื่องของสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็คือยานยนต์พลังงานทางเลือกหรือยานยนต์ไฟฟ้า และเพื่อให้มีการขับเคลื่อนในเรื่องดังกล่าวให้เป็นรูปธรรมชัดเจน จึงมีการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2563 เพื่อดำเนินการสนับสนุนเรื่องของยานยนต์ไฟฟ้าทั้งการผลิตและการบริโภค ทั้งเพื่อตอบสนองเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม และเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศให้เปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ไปพร้อมๆ กัน โดยคณะกรรมการฯ ได้มีมาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า และดูแลโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการใช้งาน พร้อมทั้งตั้งเป้าให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก ภายในปี พ.ศ. 2578

“ภาครัฐได้ให้การสนับสนุนเรื่องยานยนต์ไฟฟ้ามาตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2560 แต่ความต้องการของตลาดในประเทศในเวลานั้น ยังไม่ค่อยเติบโตมากนัก ยังติดในเรื่องของราคาและสถานีชาร์ตพลังงาน ในขณะที่ตลาดต่างประเทศมีการส่งเสริมในหลายๆทาง ได้กลายเป็นแนวทางที่ผลักดันให้เกิดเทรนด์การผลิตในประเทศไทยในเวลาต่อมา” นายอุษิณ วิโรจน์เตชะ นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวไว้ตอนหนึ่งในการเสวนาเรื่อง นโยบายสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบนิเวศยานยนต์คาร์บอนต่ำ ในงาน Automotive Summit 2022 เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งงาน Automotive Summit จัดเป็นส่วนหนึ่งของงาน Manufacturing Expo มหกรรมเครื่องจักรและเทคโนโลยีเพื่อการผลิตและอุตสาหกรรมสนับสนุน 9 งานในมหกรรมเดียว ซึ่งจัดอยู่ในขณะนี้ถึงวันที่ 25 มิถุนายนนี้ ที่ไบเทค บางนา

ปัจจุบัน มีผู้ผลิตยานยนต์หลายรายที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและมีการจำหน่ายในประเทศบ้างแล้ว โดยการส่งเสริมจากภาครัฐ มีทั้งการลดภาษีนำเข้ายานยนต์สำเร็จรูป รถยนต์นั่ง และจักรยานยนต์ ลดภาษีสรรพสามิต ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมถึงการให้เงินอุดหนุนเพื่อให้ผู้ประกอบการปรับลดราคายานยนต์ไฟฟ้าให้ถูกลง เพื่อเป็นแรงจูงใจผู้บริโภคในการซื้อยานยนต์ไฟฟ้าไปใช้งาน และในส่วนของผู้บริโภคคือการลดอัตราภาษีจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้า ที่หวังว่าจะเป็นแรงจูงใจให้คนเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้ากันให้มากขึ้น

 

นายครรชิต ไชยสุโพธิ์ รองประธานฝ่ายกิจการองค์กรและรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด (GWM) หนึ่งในบริษัทเทคโนโลยียานยนต์ระดับโลก กล่าวว่า ในฐานะแบรนด์ใหม่ในประเทศไทย GWM ให้การสนับสนุนเป้าหมายสังคมคาร์บอนต่ำ ด้วยการใช้จุดแข็งในความหลากหลายของเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีอยู่ มาใช้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในประเทศไทย ปัจจุบันแบรนด์รถยนต์ที่ GWM นำเข้ามานั้น ได้ทำให้เกิดไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ ของคนไทย และสามารถทำยอดขายได้กว่า 8,200 คันแล้ว ซึ่ง GWM ได้กำหนดแนวทางการตลาดไว้ใน 3 ส่วนคือ 1) การขยายฐานธุรกิจจากเดิม ไปทางด้านเทคโนโลยีพลังงาน เพื่อให้เกิดทางเลือกใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมยานยนต์ 2) ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงงานให้เหลือ 0% ภายในปีหน้า และ 3) ภายในปี พ.ศ. 2588 จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ซึ่งจะเป็นการตอบสนองนโยบายภาครัฐ เพื่อจะเดินหน้าไปสู่โฉมใหม่ของเทคโนโลยีอุตสาหกรรมยานยนต์ไปพร้อมๆ กัน ทั้งการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ และการจัดตั้งซัพพลายเชนด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ครบวงจร

 

 

นาย Juergen Fitschen – Future Mobility Expert บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เรื่องความเป็นกลางทางคาร์บอนนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในยุโรป ได้ให้ความสำคัญและกำหนดเป็นนโยบายไว้อย่างชัดเจนว่า ภายในทศวรรษนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ จะผลิตรถทุกรุ่นให้เป็นไฟฟ้าทั้งหมด โดยภายในสิ้นปีนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ จะมีรถไฟฟ้าออกสู่ตลาดมากถึง 9 รุ่น และในอนาคตยังวางแผนจะผลิตรถไฟฟ้าที่สามารถชาร์ตพลังงานเพียงครั้งเดียว แต่สามารถวิ่งได้ระยะทางไกลถึง 1,000 กิโลเมตร นอกจากนี้ ยังมีนโยบายเปิดกว้างในการประสานความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่ประสงค์อยากจะร่วมติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า เพื่อรองรับปริมาณความต้องการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย

 

 

นายกฤษฎา อุตตโมทย์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารกิจการองค์กร บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าเพื่อให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน นอกจากยานยนต์ไฟฟ้าแล้ว BMW ยังมองไปในเรื่องอื่น อาทิ แพลตฟอร์มยานยนต์ไฟฟ้าที่สามารถใช้ไฮโดรเจนเป็นพลังงานได้ รวมถึงการคิดค้นเทคโนโลยีที่จะทำให้ลดการผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ลดน้อยลง หรือยานยนต์ที่สามารถรีไซเคิลได้ 100% รวมถึงแผนการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าให้มีความหลากหลาย เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกยานยนต์รุ่นที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการ สำหรับสถานีอัดประจุไฟฟ้านั้น BMW ได้ส่งเสริมให้มีการติดตั้งสถานีในพื้นที่สาธารณะเป็นเจ้าแรก และคาดว่า ภายในปี พ.ศ. 2568 จะมีสถานีประจุไฟฟ้าให้บริการมากกว่า 3,000 จุดเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงยานยนต์ไฟฟ้าได้มากขึ้น
เมื่อนโยบายกำหนดออกมา ภาครัฐได้ให้การส่งเสริมสนับสนุนด้านการลงทุนแก่ภาคเอกชน ในรูปแบบของภาษี ทำให้เอกชนเกิดความมั่นใจ และเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนให้นโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอนนี้ สามารถดำเนินการออกมาได้เป็นรูปธรรมได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ในส่วนของผู้บริโภคที่เป็นปลายน้ำ เมื่อภาครัฐสนับสนุนเรื่องภาษี ทำให้ยานยนต์ไฟฟ้ามีราคาถูกลงกว่าที่เคยเป็น และความสะดวกสบายในการใช้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ติดตั้งในพื้นที่สาธารณะทั่วประเทศ ก็จะเป็นสิ่งจูงใจให้คนหันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้นในที่สุด

 

 

ผู้สนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์สามารถเข้าชมงาน Automotive Manufacturing ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน Manufacturing Expo ได้ที่ www.manufacturing-expo.com สอบถามโทร. 0 2686 7222