กรุงเทพฯ 24 มีนาคม 2566 – ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี มุ่งมั่นการเป็นธนาคารพันธมิตรที่พร้อมเคียงข้างลูกค้าธุรกิจและเอสเอ็มอี ให้สามารถก้าวผ่าน 4 ความท้าทายในโลกธุรกิจปัจจุบัน ตอกย้ำพันธกิจให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง ผ่านผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อสร้าง The Next REAL Change สำหรับลูกค้าธุรกิจและเอสเอ็มอี ปี 2566 ด้วยกลยุทธ์และเป้าหมายที่พร้อมสนับสนุนลูกค้าธุรกิจ ทั้งด้านการทำธุรกิจด้วยวิถี ESG การปรับตัวสู่ดิจิทัล สงครามแย่งคน และความท้าทายของโลกการค้าระหว่างประเทศ
นายศรัณย์ ภู่พัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจ ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี เปิดเผยว่า จากการสนับสนุนลูกค้าในด้านต่าง ๆ ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และดิจิทัลโซลูชันที่ตอบโจทย์ลูกค้าธุรกิจและเอสเอ็มอีมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การเปิดตัวบัญชี ttb multi-currency การพัฒนา Digital Supply Chain Solutions และ ttb business one ธนาคารดิจิทัลเพื่อโลกธุรกิจ จนได้รับรางวัลจากสถาบันต่าง ๆ ต่อเนื่องในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้คุณภาพสินเชื่อดีขึ้น เงินฝากจากบัญชีเพื่อทำธุรกรรมและค่าธรรมเนียม มีการเติบโตสูงขึ้นกว่า 10% และมีจำนวนลูกค้าธุรกิจที่มาใช้ดิจิทัลแบงก์กิ้ง มากขึ้นกว่า 54% ในปี 2565
ปัจจุบัน ทีเอ็มบีธนชาต ตระหนักว่าผู้ประกอบการธุรกิจไม่ว่าขนาดใหญ่หรือเล็ก กำลังเผชิญอยู่ในโลกธุรกิจ ทำให้ธนาคารมุ่งเน้นการอยู่เคียงข้างและพร้อมสนับสนุนให้ลูกค้าธุรกิจและเอสเอ็มอี สามารถก้าวผ่านความท้าทาย 4 ด้าน ด้วยผลิตภัณฑ์ บริการ ดิจิทัลโซลูชัน และองค์ความรู้ ดังต่อไปนี้
ความท้าทายที่ 1 : กระแสความยั่งยืนที่กระทบต่อธุรกิจทั้งโลก (Impact of ESG)
จากปัจจุบันที่ทั่วโลกให้ความสำคัญกับภาวะสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนของโลก โดยพบว่าความเสี่ยงที่คุกคามที่สุดที่ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกมองในอีก 10 ปีข้างหน้า คือ ความเสี่ยงเรื่องสิ่งแวดล้อม แม้แต่ผู้บริโภคและพนักงานทั่วโลกก็ต่างให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG และพร้อมจะสนับสนุนสินค้าและอยากทำงานในบริษัทที่ยึดมั่นพันธกิจในเรื่อง ESG มากขึ้น นอกจากนั้นยังพบว่าบริษัทที่ให้ความสำคัญในเรื่อง ESG มีการเติบโตได้ดีแม้ในช่วงโควิด-19 และมีความสามารถในการระดมทุนได้ต่ำกว่า บริษัทที่ไม่ได้มุ่งเน้นในเรื่องดังกล่าว
ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทาง ทีเอ็มบีธนชาต ได้เล็งเห็นว่าลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่มีแนวโน้มที่จะลงทุนในเรื่อง ESG มากขึ้น ทางธนาคารจึงตั้งเป้าที่จะสนับสนุนสินเชื่อสีเขียวและสีฟ้า (Green and Blue Loan) ภายใน 5 ปีในวงเงินกว่า 50,000 ล้านบาท นอกจากนั้นยังได้มีนโยบายที่จะส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจให้กับธุรกิจที่สามารถบรรลุ KPI ของ ESG ได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ภายใต้ผลิตภัณฑ์ Sustainability Linked Loan และ Sustainability Linked Derivatives และในส่วนของลูกค้าเอสเอ็มอี ธนาคารมีแผนการให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าว พร้อมตั้งเป้าที่จะสนับสนุนสินเชื่อ วงเงินกว่า 30,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี ภายใต้ Transformation Loan Supply Chain Solutions และ Refinance Program
ความท้าทายที่ 2 : การปรับตัวของธุรกิจในยุคดิจิทัล (Digital Transformation)
ตลอดระยะเวลาในช่วง 2- 3 ปีที่ผ่านมา จะพบว่ามีเทคโนโลยีจำนวนมากที่ทำให้การดำเนินชีวิตและธุรกิจเปลี่ยนไป โดยเฉพาะช่วงโควิด-19 ซึ่งเป็นตัวเร่งให้เกิด Digital Adoption รวดเร็วมากขึ้น จากสถิติต่าง ๆ ที่ผ่านมาพบว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการปรับตัวเรื่องเทคโนโลยีเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกรรมโมบายแบงก์กิ้ง เป็นอันดับหนึ่งของโลก ในปี 2564 อีกทั้งความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานประเทศที่จะรองรับการทำธุรกรรมทางด้านดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็น PromptPay PromptBiz และการยืนยันตัวตนทางออนไลน์
จากความพร้อมเหล่านี้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจ ที่ต้องปรับการดำเนินงานให้เป็นดิจิทัล เพื่อไม่ให้เสียโอกาสในการแข่งขัน ทีเอ็มบีธนชาต ให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าว จึงพัฒนาการบริหารจัดการธุรกรรมการเงินด้วยโซลูชันครบวงจร (Cash Management Solutions) ที่ครอบคลุมและแตกต่าง รองรับการรับเงิน การจ่ายเงิน และการบริหารสภาพคล่อง ด้วยฟีเจอร์ที่โดดเด่นและตอบโจทย์ โดยสามารถจัดการทั้งเงินและเอกสารสู่ระบบดิจิทัลได้ทั้งหมด ซึ่งไม่ว่าจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย ก็ต่างได้รับประโยชน์ทั้งในเรื่องของการลดเวลาและขั้นตอน ได้เงินเร็ว ตรวจสอบสถานะได้ ทำให้การบริหารสภาพคล่องได้ประโยชน์สูงสุด
ความท้าทายที่ 3 : สงครามการแย่งคน (Talent War)
ปัจจุบันหนึ่งในปัญหาที่ผู้ประกอบการธุรกิจประสบเป็นอย่างมาก คือการขาดแคลนพนักงานที่มีทักษะและความรู้ความสามารถ โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ต้องการรักษาพนักงานให้อยู่กับองค์กร ก็จะมีต้นทุนในการดูแลพนักงานที่สูง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสวัสดิการกลุ่ม การจ่ายเบี้ยประกัน และการจะลงทุนระบบ HR
ทีเอ็มบีธนชาต เข้าใจในปัญหาเหล่านี้ และต้องการสนับสนุนให้ธุรกิจเอสเอ็มอี สามารถดูแลสวัสดิการพนักงานให้มีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นได้แบบครบวงจร จึงได้พัฒนา โซลูชันบริการการจ่ายเงินเดือนและดูแลสวัสดิการพนักงานแบบครบวงจร (ttb payroll plus) ที่ครอบคลุมชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นของพนักงาน รวมถึง Digital HRM ที่กำลังจะเปิดตัวในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถบริหารจัดการงานบุคคลได้อย่างครบวงจรตั้งแต่ บันทึกเวลาเข้าออกงาน ส่งใบลา และเบิกค่าใช้จ่ายเป็นต้น
ความท้าทายที่ 4 : ความท้าทายของการค้าระหว่างประเทศ (International Trade Challenges)
จากสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งขั้วทางการเมือง สงคราม การชะลอตัวของเศรษฐกิจ และอื่น ๆ จนนำไปสู่ความผันผวนที่สูงขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะสกุลเงินดอลลาร์ที่เป็นสกุลหลักในการค้าขายของไทยที่มากถึง 77.4%
ทีเอ็มบีธนชาต เข้าใจและตระหนักดีว่า ทุก 1% ของความผันผวนที่สูงขึ้น คือทุก 1% ของความเสี่ยงที่กำไรของผู้ประกอบธุรกิจจะลดลง ธนาคารจึงได้พัฒนาบริการและผลิตภัณฑ์ในการจัดการเรื่องความผันผวน ด้วยบริการ ttb local currency ที่จะช่วยลดความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วยเครื่องมือบริหารความเสี่ยงสกุลเงินท้องถิ่นที่เป็นคู่ค้าหลักของประเทศไทย นอกจากนั้นยังเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันความเสี่ยง ด้วย Pro Rata Forward สำหรับเงินสกุลท้องถิ่น โดยเฉพาะสกุลเงินหยวน ซึ่งถือเป็นธนาคารแรกและธนาคารเดียวที่ทำได้ นอกจากนั้นยังได้ออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ ที่ทำให้ธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศเป็นเรื่องที่ง่าย ไม่ว่าจะเป็น ttb multi-currency account หรือบัญชีบริหารหลายสกุลเงิน และยังมีบริการการเชื่อมต่อระบบของลูกค้ากับธนาคาร (Host to Host) และมีออนไลน์แพลตฟอร์มที่รองรับการทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศได้อย่างสะดวก ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงิน การเปิด L/C หรือการเบิกใช้สินเชื่อ
“นอกเหนือจากโซลูชันของผลิตภัณฑ์และบริการทั้งหมดที่เราจะช่วยสนับสนุนให้ลูกค้าก้าวผ่านความท้าทายต่าง ๆ แล้ว ธนาคารยังคงมีการให้องค์ความรู้เพื่อให้ตระหนักและเท่าทันการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นงานสัมมนา หรือการให้ความรู้ผ่านโซเชียลมีเดีย ผ่านโครงการ finbiz by ttb เพราะทีเอ็มบีธนชาต ตั้งใจจะสร้าง The Next REAL Change ให้ลูกค้าธุรกิจและเอสเอ็มอี สามารถเติบโตแบบยั่งยืนได้อย่างแท้จริง” นายศรัณย์ กล่าวสรุป