ส่อง! ธุรกิจบริการอาหารสหรัฐฯ และโอกาส SME ไทยจะเติบโตมากแค่ไหน

ตามข้อมูลจาก National Restaurant Association (NRA) ตลาดธุรกิจบริการอาหารในสหรัฐฯ ในปี 2024 มีมูลค่ากว่า 1,110,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 5.40% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และคาดการณ์ว่าในปี 2025 มูลค่าตลาดจะพุ่งถึง 1,500,000 ล้านเหรียญสหรัฐ การเติบโตนี้เกิดจากปัจจัยหลายประการ ทั้งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับอาหารระหว่างมื้อและเมนูที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ในยุคปัจจุบัน แนวโน้มการบริโภคอาหารนานาชาติที่ได้รับความนิยมและความหลากหลายทางเชื้อชาติในสังคมสหรัฐฯ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการขยายตัวของอุตสาหกรรมบริการอาหารในประเทศนี้ โดยสามารถวิเคราะห์ถึงโอกาส SME ไทย ดังนี้

โครงสร้างของธุรกิจร้านอาหารในสหรัฐฯ

ร้านอาหารเครือข่ายและร้านอาหารอิสระ
ข้อมูลจาก Webstaurantstore ระบุว่าในปี 2024 สหรัฐฯ มีร้านอาหารเครือข่าย (chain restaurants) จำนวน 139,334 แห่ง โดยมีแบรนด์ชั้นนำที่รู้จักกันดี เช่น McDonald’s, Starbucks, Domino’s Pizza, YUM Brands, The Wendy’s, Chick-fil-A, Inspire Brands และ Restaurant Brands International ในขณะที่ร้านอาหารอิสระ (independent restaurants) มีจำนวนถึง 483,885 แห่ง ซึ่งบางร้านที่เป็นที่รู้จักในตลาด ได้แก่ Jone’s Stone Crab, Old Eddit Grill, Maple & Ash Chicago, Taste of Texas Restaurant และ Eleven Madison Park

จากมุมมองของอุตสาหกรรม ร้านอาหารอิสระครองส่วนแบ่งตลาดถึง 64% ตามรายงานของ Mordor Intelligence เนื่องจากสามารถนำเสนอประสบการณ์การรับประทานอาหารที่เป็นเอกลักษณ์และรสชาติท้องถิ่นแท้ ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคสหรัฐฯ มองหาอยู่เสมอ

การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและประสบการณ์ที่เป็นส่วนบุคคล
ในยุคดิจิทัล ร้านอาหารทั้งเครือข่ายและอิสระต่างเร่งนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับปรุงการบริการ ทั้งการใช้ AI และ machine learning เพื่อแนะนำเมนูที่ตรงกับความชอบเฉพาะบุคคล การใช้แท็บเล็ตในการสั่งอาหาร และการนำเสนอประสบการณ์เสมือนจริง (virtual/augmented reality) ถือเป็นแนวโน้มที่กำลังมาแรง ซึ่งช่วยยกระดับประสบการณ์ลูกค้าและเพิ่มความสะดวกสบายในการสั่งซื้อและชำระเงิน

ช่องทางการจัดซื้อสินค้าและวัตถุดิบในธุรกิจบริการอาหาร
ธุรกิจร้านอาหารในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่จัดหาสินค้าและวัตถุดิบผ่านผู้จัดจำหน่ายอาหาร (food distributors) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเป็นสื่อกลางระหว่างผู้ผลิตกับธุรกิจบริการอาหาร รายชื่อผู้จัดจำหน่ายที่มีชื่อเสียง ได้แก่
• Sysco (sysco.com): ผู้นำระดับโลกที่มีสินค้าหลากหลายและบริการครบวงจร
• US Foods (usfoods.com): นำเสนอเทคโนโลยีและเครื่องมือที่ช่วยให้การบริหารจัดการธุรกิจง่ายขึ้น
• Restaurant Depot (restaurantdepot.com): ให้ราคาส่งและสินค้าจำนวนมากสำหรับสมาชิก
• Performance Foodservice (performancefoodservice.com): ให้คำปรึกษาเฉพาะด้านและสนับสนุนในการพัฒนาเมนู
• Shamrock Foods (shamrockfoodservice.com), Gordon Food Service (gfs.com), Chef’s Warehouse (chefswarehouse.com), Clark Association (clarkassociatesinc.biz/), Driscoll Foods (driscollfoods.com): แต่ละรายมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ทั้งในเรื่องของคุณภาพสินค้าและการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า

สินค้าที่จัดจำหน่ายโดยผู้จัดจำหน่ายอาหารแบ่งออกเป็นหลายประเภทหลัก เช่น วัตถุดิบอาหาร ผลิตภัณฑ์แปรรูป เครื่องดื่ม อุปกรณ์และเครื่องใช้สำหรับร้านอาหาร รวมถึงผลิตภัณฑ์สำหรับการจัดเลี้ยงและอาหารเฉพาะทาง (เช่น อาหารสุขภาพและอาหารสำหรับผู้มีข้อจำกัดในการรับประทาน) ซึ่งการกระจายสินค้าด้วยวิธีนี้ช่วยให้ธุรกิจร้านอาหารดำเนินงานได้อย่างราบรื่นและทันเวลา

เทรนด์และนวัตกรรมในอุตสาหกรรมบริการอาหารสหรัฐฯ
อุตสาหกรรมบริการอาหารในสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ได้รับแรงหนุนจากเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยสามารถสรุปประเด็นหลัก ๆ ได้ดังนี้
1. ประสบการณ์เฉพาะบุคคลผ่านเทคโนโลยี
• การนำ AI และ machine learning มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลผู้บริโภค เพื่อแนะนำเมนูและปรับปรุงประสบการณ์การสั่งอาหาร
• การใช้ตู้คีออสและแอปพลิเคชันที่มีฟังก์ชันการสั่งซื้อออนไลน์และวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า
2. ความยั่งยืน
• ร้านอาหารมุ่งเน้นการลดขยะอาหาร ใช้วัตถุดิบจากฟาร์มท้องถิ่น และใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจในสิ่งแวดล้อม
3. โปรตีนทางเลือกและอาหารเพื่อสุขภาพ
• ความต้องการโปรตีนจากพืชและโปรตีนที่เพาะเลี้ยงเพิ่มขึ้น ทั้งในกลุ่มมังสวิรัติและผู้ที่ใส่ใจในสุขภาพ
• แนวโน้มของอาหารสุขภาพ เช่น ซูเปอร์ฟู้ด โปรไบโอติก และสมูทตี้กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
4. ประสิทธิภาพและเทคโนโลยีในห้องครัว
• เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น หุ่นยนต์ประกอบอาหารและระบบจัดการภายในครัวช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
5. โมเดลธุรกิจเสมือนจริง (Virtual Brands) และ Ghost Kitchens
• การเติบโตของธุรกิจที่เน้นการสั่งเดลิเวอรี่โดยไม่มีร้านอาหารแบบมีพื้นที่รับประทานในที่เดียว และโมเดลไฮบริดที่ผสานระหว่างบริการในร้านและดิจิทัล
6. นวัตกรรมในเครื่องดื่ม
• เครื่องดื่มที่ออกแบบทั้งในเรื่องรสชาติและรูปลักษณ์ ช่วยดึงดูดลูกค้ารุ่นใหม่ที่มองหาประสบการณ์ที่ไม่ซ้ำใคร

ข้อมูลแนวโน้มเหล่านี้สอดคล้องกับการวิเคราะห์จากแหล่งอ้างอิงภายนอกหลายแห่งที่ระบุว่าในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ธุรกิจร้านอาหารจะต้องมีการปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองต่อความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

โอกาสและความท้าทายของสินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ

จุดแข็งของสินค้าไทย
• ความนิยมในระดับนานาชาติ – อาหารไทยได้รับการยอมรับและเป็นที่รู้จักในเมืองใหญ่ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่ชื่นชอบอาหารที่มีรสชาติจัดจ้านและมีเอกลักษณ์
• คุณค่าทางโภชนาการ – ส่วนประกอบในอาหารไทยมักมีคุณค่าทางโภชนาการสูงและเหมาะสำหรับกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ
• ความหลากหลายและความยืดหยุ่น – เมนูอาหารไทยมีความหลากหลาย ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับรสนิยมของลูกค้าในแต่ละภูมิภาคได้

จุดอ่อนของสินค้าไทย
• การรับรู้แบรนด์ในบางภูมิภาค – แม้ว่าจะเป็นที่นิยมในเมืองใหญ่ แต่บางพื้นที่ในสหรัฐฯ ยังมีความคุ้นเคยกับอาหารไทยไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการขยายตลาด
• ต้นทุนการนำเข้า – ข้อจำกัดด้านต้นทุนขนส่งและเวลาที่ใช้ในการนำเข้าสินค้าจากไทยอาจส่งผลให้ราคาสินค้าสูงกว่าคู่แข่งในตลาด

โอกาสของสินค้าไทย
• การเติบโตของกลุ่มผู้บริโภคที่สนใจอาหารนานาชาติ – แนวโน้มผู้บริโภคในสหรัฐฯ ที่มองหาอาหารจากเอเชียและอาหารเพื่อสุขภาพเปิดโอกาสให้สินค้าไทยขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น
• การเติบโตของธุรกิจเดลิเวอรี่และโมเดลธุรกิจใหม่ – การขยายตัวของธุรกิจเดลิเวอรี่และ ghost kitchen ส่งผลให้ช่องทางการจำหน่ายและการส่งออกสินค้าไทยที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมบริการอาหารเพิ่มขึ้น
• โอกาสทดแทนสินค้าจากจีน – สถานการณ์ด้านการค้าระหว่างประเทศและความผันผวนของเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ทำให้ผู้นำเข้ามองหาทางเลือกใหม่ ๆ ซึ่งไทยสามารถนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูงในกลุ่มเครื่องเย็น, อุปกรณ์ไฟฟ้า, บรรจุภัณฑ์ และเครื่องครัวได้

อุปสรรคที่ต้องเผชิญ
• การแข่งขันในตลาดเอเชีย – สินค้าไทยต้องแข่งขันกับสินค้าจากประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าและสามารถปรับตัวต่อแนวโน้มตลาดได้รวดเร็วกว่า
• ความผันผวนทางเศรษฐกิจ – สภาวะเศรษฐกิจในสหรัฐฯ อาจส่งผลให้ผู้บริโภคลดค่าใช้จ่ายในการรับประทานอาหารนอกบ้าน ซึ่งอาจกระทบต่อยอดขายของธุรกิจบริการอาหารและผู้จำหน่ายสินค้านำเข้าจากไทย

การวิเคราะห์โดยรวมชี้ให้เห็นว่าในยุคที่ตลาดบริการอาหารในสหรัฐฯ กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยแนวโน้มการบริโภคที่เปิดรับรสชาติและประสบการณ์ใหม่ ๆ ทำให้สินค้าไทยที่มีเอกลักษณ์ทั้งในเรื่องรสชาติและคุณภาพมีโอกาสที่จะขยายตลาดได้อย่างมาก อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตและผู้ส่งออกจำเป็นต้องพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดและปรับปรุงห่วงโซ่อุปทานเพื่อแข่งขันในตลาดที่มีการแข่งขันสูง

ธุรกิจบริการอาหารในสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงและนวัตกรรมที่เข้ามามีบทบาทในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การบริการในร้านอาหารไปจนถึงการจัดหาวัตถุดิบและการปรับตัวของเทคโนโลยี ซึ่งส่งผลให้ตลาดมีมูลค่าและโอกาสในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สำหรับสินค้าไทย โอกาสในการขยายฐานลูกค้าขึ้นอยู่กับการนำเสนอคุณค่าที่โดดเด่นและการปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับแนวโน้มผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ด้วยการตอบสนองต่อความต้องการในเรื่องของรสชาติที่แตกต่าง สุขภาพ และความยั่งยืน สินค้าไทยจึงมีศักยภาพที่จะเข้ามามีบทบาทในตลาดสหรัฐฯ ที่เปิดรับนวัตกรรมและรสชาติใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง

 

ที่มา: สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก