Up-selling

Up-selling กลยุทธ์เปลี่ยนลูกค้าให้เป็นนักอัปเกรด จ่ายเพิ่มเพื่อสิ่งที่ดีกว่า

เคยเจอกันหรือไม่? เวลาที่เราเข้าร้านอาหาร โดยเฉพาะฟาสต์ฟู้ด ที่สั่งเครื่องดื่มไปแล้วพนักงานจะถามกลับมาว่าจะเพิ่มขนาดไซส์หรือไม่ เรื่องนี้ไม่ต้องแปลกใจ เพราะนี่คือกลยุทธ์ที่เรียกว่า Up-selling ที่ทำให้ลูกค้าจ่ายเงินเพิ่มอย่างเต็มใจ โดยไม่ต้องหาลูกค้าใหม่ให้เสียเวลา

 

Up-selling เป็นกลยุทธ์การตลาดที่มุ่งเน้นลูกค้าที่กำลังจะตัดสินใจจะซื้อสินค้า หรือบริการอยู่แล้ว โน้มน้าวใจให้ไปซื้อสินค้าที่มีราคาสูงกว่า แทนที่การเลือกซื้อในครั้งแรก ผ่านข้อเสนอที่ให้มากกว่า เพียงจ่ายเงินเพิ่มเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้ไม่ได้เป็นการเอาเปรียบลูกค้า แต่เป็นการเสนออยู่บนหลักการของการให้คุณค่า ไม่ใช่เป็นการขายในราคาที่แพงกว่า

 

 

ผู้ประกอบการที่ใช้กลยุทธ์ Up-selling จะต้องมีความเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าอย่างแท้จริง 3 เรื่องด้วยกัน

 

1.ทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้า เสนอสินค้าที่เกี่ยวโยงกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการจริง ๆ โดยการนำเสนอต้องไม่รบกวนการตัดสินใจซื้อเดิม

 

2.เสนอตัวเลือกที่ ‘ดีกว่าเล็กน้อย’ (Good-Better-Best) สร้างช่องว่างด้านราคาและคุณสมบัติที่ไม่ห่างกันจนเกินไป เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าการอัปเกรดนั้น “คุ้มค่า” ที่จะจ่ายเพิ่มเพียงนิดเดียว (เช่น ตัวเลือกพรีเมียมมีราคาเพิ่มขึ้นไม่เกิน 25% ของสินค้าเดิม)

 

3.เน้นย้ำผลประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ ชี้ให้เห็นว่าการจ่ายเพิ่มนี้จะช่วยแก้ปัญหาได้ดีขึ้น หรือทำให้ประสบการณ์การใช้งานดีขึ้นอย่างไร โดยใช้หลักฐานที่จับต้องได้ เช่น เพิ่มอายุการใช้งาน, รับประกันนานขึ้น, หรือได้ฟังก์ชันพิเศษที่สำคัญ

 

ตัวอย่างที่เห็นภาพได้อย่างชัดเจน เช่น ร้านอาหารที่พนักงานเสนอให้ลูกค้าเปลี่ยนเฟรนช์ฟรายส์จากขนาดปกติ ให้เป็นขนาดใหญ่ขึ้น เพียงเพิ่มเงิน 10-20 บาท, ร้านคอมพิวเตอร์ที่เสนอให้ลูกค้าอัปเกรดอุปกรณ์ให้ดีกว่าเดิม รองรับการใช้งานที่หลากหลาย

 

แน่นอนว่าประโยชน์ที่จะได้รับหนีไม่พ้นการช่วยเพิ่มรายได้ และกำไรธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากลูกค้าได้ตัดสินใจซื้ออยู่แล้ว หากลูกค้ามีความพึงพอใจกับข้อเสนอที่เกิดขึ้น จะทำให้เกิดความรู้สึกว่าแบรนด์มีความเข้าใจความต้องการ เกิดความภักดี และมีโอกาสกลับมาซื้อซ้ำอีกครั้งในอนาคต

 

เรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้อง