ลัคกี้สุกี้

‘ลัคกี้สุกี้’ ธุรกิจที่เกิดจากความบังเอิญ แต่เปิดมา 3 ปี รายได้ทะลุพันล้าน

“สงครามหม้อสุกี้” ดูเหมือนจะไม่ได้แข่งขันกันแค่ 2 แบรนด์ แต่มีแบรนด์ที่ 3 อย่าง ‘ลัคกี้สุกี้’ ที่จะเข้ามาเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญในสมรภูมินี้ที่ต้องจับตามองกันอย่างใกล้ชิดเลยทีเดียว

 

เรื่องที่ทำให้แบรนด์ ‘ลัคกี้สุกี้’ ถูกพูดถึงขึ้นมา เมื่อ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) ทำหนังสือแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีมติให้ บริษัท เซ็นทรัลเรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยลงทุนในบริษัท มิราเคิล แพลนเนท จำกัด (“MP”) ซึ่งประกอบธุรกิจร้านอาหารประเภทสุกี้ และบาร์บีคิว ภายใต้แบรนด์ ลัคกี้สุกี้ (Lucky Suki) และ ลัคกี้บาร์บีคิว (Lucky BBO) โดยมีการลงทุนซื้อหุ้นสามัญจากผู้ถือหุ้นเดิม จำนวน 35,000 หุ้น และซื้อหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 105,000 หุ้น ใช้เงินลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 940 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 40 ของจำนวนหุ้นจดทะเบียนทั้งหมดภายหลังการเพิ่มทุน ด้วยเหตุผลที่ว่าธุรกิจร้านสุกี้ในรูปแบบบุฟเฟต์ยังเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพ และมีโอกาสเติบโตในอนาคต

 

นี่จึงเป็นก้าวที่สำคัญที่เป็นจุดเปลี่ยนของธุรกิจกับการมีบริษัทยักษ์ใหญ่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมทุนท่ามกลางสมรภูมิที่ดุเดือดนี้

 

[ธุรกิจที่เกิดจากความชื่นชอบ ไม่มีประสบการณ์ร้านอาหาร]

 

แบรนด์เกิดขึ้นจากกลุ่มเพื่อน ได้แก่ รสรินทร์ ติยะวราพรรณ, วิรัตน์ โรจยารุณ, รุ่งทิวา วิพัฒนานันทกุล และ อิทธิพล ติยะวราพรรณ โดยทั้งหมดไม่มีประสบการณ์เรื่องการทำร้านอาหารมาก่อนเลย แต่มีความชื่นชอบในเรื่องการรับประทานอาหารเหมือนกัน จึงร่วมกันศึกษาข้อมูล หาเทรนด์ที่น่าสนใจ และแบ่งหน้าที่ตามความถนัดของแต่ละคน จนเลือกธุรกิจสุกี้บุฟเฟต์ เพื่อเจาะกลุ่มตลาดแมส และมองว่ายังมีคู่แข่งไม่เยอะ

 

‘ลัคกี้สุกี้’ เปิดสาขาแรกเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2565 ภายใต้บริษัท มิราเคิล แพลนเนท จำกัด โดยร้านจะเป็นสไตล์ Modern Chinese เน้นการคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพดี บริการที่เป็นเลิศ ในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้ แม้จะเป็นน้องใหม่ในตลาดสุกี้บุฟเฟต์ที่มีการแข่งขันสูง แต่ด้วยการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด สามารถทำรายได้ทะลุหลักพันล้านบาทได้สำเร็จภายในเวลาเพียง 3 ปี

 

 

ผลประกอบการ บริษัท มิราเคิล แพลนเนท จำกัด

 

– ปี 2565 รายได้รวม 80 ล้านบาท กำไร 2.7 ล้านบาท

– ปี 2566 รายได้รวม 409 ล้านบาท กำไร 46 ล้านบาท

– ปี 2567 รายได้รวม 1,015 ล้านบาท กำไร 108 ล้านบาท

 

[กลยุทธ์มัดใจลูกค้า]

 

แบรนด์ให้ความสำคัญกับ “ลูกค้า” โดยชาเลนจ์ที่สำคัญในการรักษาฐานลูกค้าเก่าให้รักเหมือนเดิม และต้องเพิ่มฐานลูกค้าใหม่อยู่ตลอดเวลา ผ่านกลยุทธ์ THEMATIC Campaign “รักเธอไม่มีหมด” ผ่าน 3 คำมั่นสัญญา ได้แก่ มุ่งมั่น สร้างประสบการณ์การรับประทานอาหารแบบไม่มีที่สิ้นสุด, ตั้งใจ คัดสรรเมนูและวัตถุดิบที่ดีที่สุด เพื่อเสิร์ฟถึงมือลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และพัฒนา บริการต่าง ๆ เพื่อความพึงพอใจสูงสุด

 

 

แน่นอนว่าเหตุผลหลักที่ลูกค้าต้องมาแบ่งเป็น 5 เรื่อง คือ 1.อาหาร 2.ความสะอาดและบรรยากาศ 3.มาตรฐานการบริการ 4.ความคุ้มค่าที่เมนูอาหารให้มากกว่า 50 เมนู และ 5.รสชาติน้ำจิ้ม

 

[ไม่ขอแข่งสงครามราคา]

 

ในช่วงเวลาที่แบรนด์สุกี้มีการแข่งขันเรื่องของสงครามราคา แต่สำหรับ ‘ลัคกี้สุกี้’ ไม่ขอทำแบบนั้นด้วย โดยมองว่าสิ่งที่ทำให้กับลูกค้ามีความสมเหตุสมผล และมีความคุ้มค่าอยู่แล้ว ซึ่งผู้บริหารระบุชัดเจนว่าจะไม่ลงไปเล่นในสงครามราคา แต่จะเน้นการส่งมอบ บริการและคุณภาพอาหารที่เกินความคาดหวัง ของลูกค้า เมื่อลูกค้าจ่ายเงินในราคาที่เข้าถึงได้ พวกเขาต้องได้รับสิ่งที่คุ้มค่า และดีกว่าที่คิด ซึ่งสร้างความภักดีในระยะยาวได้มากกว่าการลดราคา

 

 

วิเคราะห์เพิ่มเติมได้ว่า การแข่งขันด้วยราคาเป็นสิ่งที่เลียนแบบได้ง่าย และสามารถจบลงด้วยการทำลายล้างกำไรของทุกฝ่าย แบรนด์จึงเลือกที่จะโฟกัสที่จุดแข็งของตัวเอง และใส่ใจในรายละเอียดทุกขั้นตอน เช่น คุณภาพความสดใหม่ การบริการที่ยอดเยี่ยม และการเปิดให้บริการถึงดึก ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกผูกพันกับแบรนด์มากกว่าแค่เรื่องราคา

 

อีกทั้ง การไม่เข้าสู่สงครามราคาช่วยให้แบรนด์สามารถรักษากระแสเงินสดและกำไร เพื่อนำไปใช้ในการขยายสาขาและลงทุนในธุรกิจใหม่ เช่น ลัคกี้ บาร์บีคิว (Lucky BBQ) และบรรลุเป้าหมายรายได้ที่สูงขึ้นในอนาคต

 

ที่มา: forbesthailand, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

เรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง