ดูเหมือนว่าสถานการณ์การใช้ชีวิตของคนในไทยในช่วงนี้เต็มไปด้วยความกังวลต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะงานหรือธุรกิจที่ทำอยู่ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร เพราะไม่สามารถคาดอะไรได้เลย หากจะให้เดาก็คงเป็นไปในทิศทางลบมากกว่า จึงทำให้ใครหลายคนเริ่มที่จะรัดเข็มขัด ระมัดระวังเรื่องของการใช้จ่ายมากขึ้น
เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อกลายเป็นเศรษฐกิจไทยในวงกว้างที่จำเป็นต้องถูกกระตุ้น เกิดการจับจ่ายใช้สอย แต่ดูเหมือนว่าบรรยากาศจะไม่ค่อยเอื้ออำนวยให้ทำแบบนั้นสักเท่าไหร่ เพราะเรามักเห็นข่าวสารเชิงลบออกมาเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็น มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส หรือ Moody’s บริษัทจัดอันดับเครดิต หั่นแนวโน้มเครดิตของประเทศไทยจาก “มีเสถียรภาพ” (Stable) เป็น “เชิงลบ” (Negative)
แต่ยังคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ไว้ที่ Baa1 รวมถึง ปรับลดผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปี 2025 จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 2.9% ลดลงเหลือประมาณ 2% จากแรงกดดันต่อภาระหนี้ของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น หลังไม่ดีอยู่แล้วตั้งแต่การแพร่ระบาดโควิด-19 ครั้งใหญ่ โดยอยู่ประมาณ 56% ของ GDP ในปีงบประมาณ 2567
เช่นเดียวกับ (IMF) ได้หั่นอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยจากเดิม 2.9% ลดลงเหลือ 1.8%

ขณะเดียวกัน สมาคมนักวางแผนการเงินไทย (TFPA) เตือนว่า คนไทยที่เป็นกลุ่มพนักงานประจำ ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 6 เดือนของเงินเดือน ส่วนอาชีพฟรีแลนซ์ ควรมีเงินสำรองฉุกเฉิน 12 เดือนของเงิน โดยเป็นสิ่งจำเป็นกับการรับมือกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็น การตกงาน หรือมีรายได้ที่ลดลง
นอกจากนี้ ยังแนะนำอีกว่า คนไทยควบคุมค่าใช้จ่าย ลดในส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป รวมถึงไม่ก่อหนี้เพิ่ม ตลอดจนการมองหาช่องทางการสร้างรายได้ใหม่ ๆ นอกเหนือจากงานประจำที่ทำอยู่ ไม่เพียงเท่านั้น ในส่วนของทักษะก็จำเป็นต้องพัฒนาอยู่เสมอเพื่อสร้างโอกาสในการเข้าสร้างรายได้ในอนาคต
จะเห็นได้ว่า หนทางช่างดูมืดมนเป็นอย่างมาก ไม่รู้จะเดินต่อไปอย่างไร ด้วยปัญหาที่เกิดขึ้นจึงอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามตามมาเกี่ยวกับแผลเศรษฐกิจไทยว่าเกิดอะไรขึ้น

หากอ้างอิงจากบทความเรื่อง Economic scars : แผลเป็นเศรษฐกิจไทย ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทิ้งไว้หลังโควิด ของ scbeic ก็จะพบกับปัญหาเรื้อรังว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 ได้ช้า โดยอยู่ในกลุ่มท้าย ๆ ของโลก ซึ่งโอกาสทางเศรษฐกิจไทยหายไปมากถึง 1 ใน 3 ของมูลค่าเศรษฐกิจไทยในปี 2024 คิดเป็น 6 ล้านล้านบาท ซึ่งมาจากภาคธุรกิจ ภาคครัวเรือน รวมถึงภาคการคลัง ได้รับผลกระทบรุนแรงจากโควิด จนเกิดรอยแผลเป็นซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยที่มีอยู่เดิมเข้าไปอีก
หากพิจารณาถึงภาคธุรกิจจะพบแผลเศรษฐกิจไทยเป็น ดังนี้
1.กลุ่มธุรกิจฟื้นตัวไม่พร้อมกัน
ธุรกิจกลุ่ม Micro & Small ซึ่งเป็นภาคธุรกิจไทยที่มีสัดส่วนกว่า 90% ของธุรกิจทั้งหมด กลับมีสัดส่วนรายได้เพียง 16% ของรายได้ธุรกิจทั้งหมด แตกต่างจากธุรกิจกลุ่ม Medium & Large ที่ฟื้นตัวแล้ว โดยรายได้ของธุรกิจใหญ่ในช่วงปี 2023 ฟื้นตัวสูงกว่ารายได้ในช่วงก่อนเกิดโควิด
2.บริษัทผีดิบ มีจำนวนมาก
บริษัทผีดิบ หมายถึงบริษัทที่ไม่โต แต่ก็ไม่ตาย มีสัดส่วนค่อนข้างสูง โดยในปี 2023 มีจำนวนอยู่ที่ 5.8% สูงกว่าปี 2019 ที่มีอยู่ 5.5% ที่สำคัญไปกว่านั้น 78% เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
3.ธุรกิจเปิด-ปิดการยังน่าห่วง
ปี 2024 ธุรกิจเปิดใหม่เติบโตเพียง 2.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน และชะลอลงมากจากปี 2023 ที่ 11.5%YOY และมีแนวโน้มแย่ลงต่อเนื่องในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2025 ที่หดตัวถึง -5.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะเดี่ยวกันธุรกิจที่ปิดกิจการเพิ่มขึ้นมากถึง 16.9% เมื่อเทียบ ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2025 โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจสุขภาพ และธุรกิจค้าปลีก
แผลเป็นภาคครัวเรือนมีอะไรบ้าง
1.ครัวเรือนไทยประสบปัญหารายได้ไม่พอรายจ่าย
รายได้ครัวเรือนเริ่มปรับสูงกว่ารายจ่าย (รวมรายจ่ายชำระหนี้) โดย SCB EIC ครัวเรือนที่มีหนี้กว่า 1 ใน 3 จะยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ซึ่งส่วนมากจะเป็นครัวเรือนที่มีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 30,000 บาทต่อเดือน สำหรับครัวเรือนอีกราว 17% ต้องใช้เวลาฟื้นตัวนาน 3-5 ปี และสัดส่วนครัวเรือนอีกราว 1 ใน 4 จะสามารถฟื้นตัวได้ภายใน 3 ปี ส่วนที่เหลือเพียง 1 ใน 4 ที่จัดอยู่ในกลุ่มที่ฟื้นตัวได้แล้วหรือจะฟื้นตัวได้ภายใน 1 ปี
2.ตลาดแรงงานไทยฟื้นตัวแค่เชิงปริมาณ
คุณภาพการฟื้นตัวของตลาดแรงงานกลับพบว่า ค่าจ้างเฉลี่ยที่แท้จริงของลูกจ้างในปี 2024 โตเพียง 1.3% ต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดที่โต 3.3% ต่ำกว่าเกือบ 2 เท่า ขณะที่อัตราการว่างงานของกลุ่มเด็กจบใหม่เริ่มปรับสูงขึ้นในปี 2024 ที่ 5.6% สูงกว่าช่วงก่อนโควิดในปี 2019 ที่ 5.35%
เมื่อรอบด้านอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ละด้านดูจะมีปัญหาเรื้อรังที่รอการรักษาจนเป็นแผลเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่หายดี สุดท้ายแล้วต้องมาดูกันต่อไปว่าเศรษฐกิจไทยจะเดินไปทิศทางไหนต่อจากนี้
ที่มา: Moody’s, scbeic
Post Views: 386