Gen Z กำลังเปลี่ยนโลก “ค้าปลีก” อย่างไรให้รอดในยุคความยั่งยืน

ปัจจุบันผู้บริโภคยุคใหม่ไม่ได้เลือกซื้อสินค้าจากร้านค้าด้วยเหตุผลเพียงแค่คุณภาพสินค้าและบริการที่เป็นมิตรอีกต่อไป พวกเขาให้ความสำคัญกับแนวคิดเรื่องความยั่งยืนมากขึ้น และต้องการสนับสนุนธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ครั้งนี้จึงขอนำข้อมูลวิธีปรับตัวสู่การเป็น SME ธุรกิจค้าปลีกที่ยั่งยืน ดังนี้

รายงานจาก FMCG Gurus ระบุว่า 32% ของผู้บริโภคพยายามหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ขณะที่ข้อมูลจาก Euromonitor พบว่า 60% ของผู้ซื้อเลือกซื้ออาหารที่มีผลกระทบต่อโลกน้อยลง โดยพวกเขาให้ความสำคัญกับแหล่งที่มาของวัตถุดิบที่มีจริยธรรม การลดการปล่อยคาร์บอน และการสนับสนุนกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

ความยั่งยืนไม่ได้เป็นเพียงแค่แนวโน้ม แต่กำลังกลายเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า ผู้บริโภคในปัจจุบันเลือกใช้เงินของพวกเขาเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและสังคม นอกจากนั้น การเป็นธุรกิจที่ยั่งยืนยังสามารถสร้างโอกาสทางการตลาดและสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้าได้อีกด้วย

ความยั่งยืนในธุรกิจค้าปลีกคืออะไร

การเป็นธุรกิจค้าปลีกที่ยั่งยืนหมายถึงการพิจารณาหลายปัจจัย ตั้งแต่การเลือกแบรนด์สินค้าที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไปจนถึงการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่หรือย่อยสลายได้ง่าย การสนับสนุนค่าจ้างที่เป็นธรรมแก่พนักงาน และการใช้พลังงานสะอาดเพื่อช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญของความยั่งยืน

Richard Werren ผู้อำนวยการฝ่ายอาหารและค้าปลีกของ BSI กล่าวว่า ผู้ค้าปลีกอิสระเริ่มตระหนักว่าความยั่งยืนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้บริโภค และกลายเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่มีผลต่อการแข่งขัน ข้อมูลจากการวิจัยของ BSI ชี้ว่า 62% ของผู้บริโภคทั่วโลกให้ความสนใจกับคำกล่าวอ้างเกี่ยวกับความยั่งยืนเมื่อเลือกซื้อสินค้า บวกกับ Gen Z กำลังเปลี่ยนตลาดค้าปลีก ซึ่งคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น รายงาน Net Zero Barometer 2024 ของ BSI พบว่า 93% ของ Gen Z ภักดีต่อแบรนด์ที่รักษ์โลก และ 74% เชื่อมั่นในธุรกิจที่มีหลักฐานหรือใบรับรองด้านความยั่งยืน นอกจากนี้ งานวิจัยของ Faire ยังเผยว่าผู้บริโภคจำนวนมากเชื่อว่าร้านค้าปลีกอิสระให้บริการที่ดีกว่าและนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพสูงและน่าสนใจมากกว่าห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่

วิธีทำให้ธุรกิจค้าปลีกของคุณยั่งยืนมากขึ้น

หนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดในการทำให้ธุรกิจค้าปลีกของคุณเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นคือการลดขยะจากบรรจุภัณฑ์ เช่น การสนับสนุนให้ลูกค้านำภาชนะของตนเองมาใช้ หรือการเปลี่ยนมาใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ นอกจากนี้ การทำงานร่วมกับห่วงโซ่อุปทานที่สั้นลงโดยการสนับสนุนเกษตรกรและผู้ผลิตในท้องถิ่นไม่เพียงแต่ช่วยลดการขนส่งที่ก่อให้เกิดมลพิษ แต่ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชนอีกด้วย

การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ร้านค้าปลีกสามารถติดตั้งไฟ LED ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงาน และปรับระบบทำความเย็นให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อลดการใช้พลังงานโดยไม่จำเป็น ข้อมูลจาก Carbon Charter ชี้ว่าการลดต้นทุนพลังงานลง 20% สามารถเพิ่มกำไรของธุรกิจได้ถึง 5%

อนาคตของธุรกิจค้าปลีกที่ยั่งยืน

ในอนาคต ธุรกิจค้าปลีกที่ยั่งยืนจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของตลาด เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสำคัญกับแนวคิดนี้มากขึ้น นอกจากนี้ กฎระเบียบและข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อมจะมีความเข้มงวดมากขึ้น ทำให้ธุรกิจต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเทคโนโลยี AI กำลังมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกดำเนินงานอย่างยั่งยืนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการช่วยพยากรณ์ความต้องการของลูกค้า การบริหารจัดการสต็อกสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดของเสีย และการเพิ่มความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทานเพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายมีมาตรฐานด้านความยั่งยืนสูงสุด อาทิ

1. AI สำหรับการคาดการณ์ความต้องการสินค้า (AI-Powered Demand Forecasting)
AI สามารถช่วยพยากรณ์แนวโน้มการขายของสินค้าแต่ละประเภทได้อย่างแม่นยำ โดยใช้ข้อมูลจากพฤติกรรมการซื้อของลูกค้า ยอดขายในอดีต เทรนด์ตลาด และปัจจัยภายนอก เช่น สภาพอากาศ หรือวันหยุดสำคัญ ระบบเหล่านี้ช่วยให้ร้านค้าปลีกสามารถบริหารสต็อกสินค้าได้ดีขึ้น ลดของเสียจากสินค้าคงคลังที่มากเกินไป หรือสินค้าขาดตลาด ตัวอย่างเช่น
SAP Integrated Business Planning (SAP IBP) – ระบบ AI วิเคราะห์ข้อมูลซัพพลายเชนและคาดการณ์อุปสงค์
IBM Watson Studio – ใช้ AI วิเคราะห์แนวโน้มและพฤติกรรมผู้บริโภค

2. AI สำหรับการจัดการสต็อกสินค้าอัจฉริยะ (AI-Driven Inventory Management)
หนึ่งในความท้าทายของธุรกิจค้าปลีกคือการบริหารสต็อกสินค้าให้สมดุลระหว่างความต้องการของลูกค้าและต้นทุนการเก็บรักษา AI สามารถช่วยคำนวณปริมาณสต็อกที่เหมาะสม ลดปัญหาสินค้าหมดหรือค้างสต็อก และช่วยวางแผนโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น
Oracle Retail Inventory Management – บริหารสินค้าคงคลังแบบเรียลไทม์
Zebra Prescriptive Analytics – ระบบ AI วิเคราะห์แนวโน้มสต็อกและแจ้งเตือนสินค้าที่ต้องเติม

3. AI สำหรับการตั้งราคาสินค้าแบบไดนามิก (Dynamic Pricing AI)
AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลด้านราคา คู่แข่ง และพฤติกรรมลูกค้าแบบเรียลไทม์ เพื่อปรับราคาสินค้าให้เหมาะสมตามสภาพตลาด ช่วยให้ผู้ค้าปลีกสามารถตั้งราคาที่แข่งขันได้และเพิ่มอัตราการขายสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น
PROS Pricing Software – AI วิเคราะห์ราคาและกำหนดราคาขายที่เหมาะสม
Competera – ระบบ Dynamic Pricing วิเคราะห์คู่แข่งและพฤติกรรมผู้ซื้อ

4. AI Chatbots และระบบช่วยเหลือลูกค้าอัตโนมัติ
การใช้ AI Chatbots ช่วยตอบคำถามลูกค้าแบบอัตโนมัติ สามารถช่วยลดภาระงานของพนักงานหน้าร้านหรือ Call Center และเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ระบบเหล่านี้สามารถตอบคำถามพื้นฐาน แนะนำสินค้า หรือช่วยเหลือในกระบวนการซื้อสินค้าได้ ตัวอย่างเช่น
ChatGPT (OpenAI) – แชทบอทอัจฉริยะช่วยตอบคำถามและให้ข้อมูลสินค้า
Drift & Intercom – ระบบแชทอัตโนมัติสำหรับธุรกิจค้าปลีก

5. AI สำหรับระบบการจัดการร้านค้าแบบอัตโนมัติ (Automated Store Management)
ธุรกิจค้าปลีกสามารถใช้ AI เพื่อบริหารจัดการร้านค้าให้ทำงานได้อย่างอัตโนมัติ เช่น ระบบจดจำภาพสินค้า การนับสต็อกอัตโนมัติ และระบบ Self-Checkout ที่ช่วยลดการใช้พนักงานหน้าร้าน ตัวอย่างเช่น
Amazon Just Walk Out – ระบบ AI ที่ช่วยให้ลูกค้าซื้อสินค้าโดยไม่ต้องต่อคิวจ่ายเงิน
Trax Retail – ใช้ AI ตรวจสอบสินค้าบนชั้นวางสินค้าแบบเรียลไทม์

6. AI สำหรับการทำการตลาดและการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า
AI สามารถช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อของลูกค้าและแนะนำสินค้าที่เหมาะสม หรือใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลจาก Social Media และเว็บไซต์เพื่อสร้างแคมเปญการตลาดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น
Google AI for Retail – วิเคราะห์พฤติกรรมผู้ซื้อเพื่อสร้างแคมเปญโฆษณา
Dynamic Yield – ระบบ AI แนะนำสินค้าและโปรโมชั่นให้ลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล

7. AI สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพในระบบโลจิสติกส์
ธุรกิจค้าปลีกที่มีการขนส่งสินค้าสามารถใช้ AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่ง โดยวิเคราะห์เส้นทางที่ดีที่สุด ลดต้นทุนด้านขนส่ง และปรับปรุงความรวดเร็วของการจัดส่งสินค้าให้ลูกค้า ตัวอย่างเช่น
Route4Me – AI วิเคราะห์เส้นทางขนส่งที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
Flexe – ระบบ AI สำหรับบริหารโลจิสติกส์แบบออนดีมานด์

ธุรกิจค้าปลีกที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับแนวคิดด้านความยั่งยืนได้ก่อน ย่อมมีโอกาสสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันในอนาคต และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ากลุ่มใหม่ที่ต้องการสนับสนุนธุรกิจที่คำนึงถึงโลกใบนี้อย่างแท้จริง ขณะเดียวกัน AI กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ธุรกิจที่นำ AI มาใช้ก่อน ย่อมได้เปรียบในการแข่งขัน