วิกฤตอาชญากรรมในร้านค้าปลีก เมื่อขโมยฉลาดขึ้น ธุรกิจจะรับมืออย่างไร

รายงานล่าสุดจากสมาคมค้าปลีกอังกฤษ (British Retail Consortium – BRC) ได้เปิดเผยข้อมูลที่ส่งผลกระทบต่อร้านค้าปลีก โดยระบุว่าอัตราการเกิดอาชญากรรมในร้านค้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก และนี่คือแนวทางแก้ไขอาชญากรรมในร้านค้าปลีกที่ผู้ประกอบการ SME ควรรู้

ในช่วงปี 2023/24 มีเหตุการณ์ความรุนแรงและการล่วงละเมิดเกิดขึ้นถึงประมาณ 2,000 ครั้งต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจจาก 1,300 ครั้งต่อวันในปีที่แล้ว โดยเหตุการณ์เหล่านี้รวมถึงการเหยียดเชื้อชาติและเพศ การทำร้ายร่างกาย และการข่มขู่ด้วยอาวุธ นอกจากนี้ BRC ยังรายงานว่าความพึงพอใจต่อการแทรกแซงของตำรวจยังอยู่ในระดับต่ำ โดย 61% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าพวกเขามีประสบการณ์ที่ “แย่” หรือ “แย่มาก”

อาชญากรรมการขโมยสินค้า ก็พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์เช่นกัน ทำให้ผู้ค้าปลีกทั่วประเทศสูญเสียรายได้กว่า 2 พันล้านปอนด์ต่อปี บรรดาผู้นำในอุตสาหกรรมหวังว่า ร่างกฎหมายอาชญากรรมและตำรวจฉบับใหม่ในปี 2025 จะช่วยลดตัวเลขเหล่านี้ได้ ในช่วงเวลาที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของภาคค้าปลีกจะเผชิญความยากลำบากมากที่สุด โดยสิ่งที่ร้านค้าสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อปกป้องตัวเองและธุรกิจ มีดังนี้

ความท้าทายด้านความปลอดภัยในภาคค้าปลีก
Sarah Bird หัวหน้าฝ่ายบริการท้องถิ่นของ NBCS กล่าวว่า การรักษาความปลอดภัยในสภาพแวดล้อมการช็อปปิ้งมีความสำคัญมากขึ้นกว่าเดิม โดยอาชญากรใช้ช่องโหว่ต่างๆ เช่น เครื่องชำระเงินแบบบริการตนเอง (self-checkout kiosks) ที่ช่วยให้ขโมยสินค้าหนีไปได้โดยไม่ต้องเผชิญหน้ากับพนักงาน

“อีกปัญหาหนึ่งที่สำคัญคือ การรายงานเหตุอาชญากรรมที่ต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งส่งผลให้ตำรวจไม่สามารถรับมือกับเหตุขโมยสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาชญากรที่ก่อเหตุซ้ำซากยังคงสร้างปัญหาให้กับผู้ค้าปลีก ซึ่งยิ่งทำให้ความท้าทายด้านความปลอดภัยแย่ลง” เธอกล่าว

เธอยังเสริมว่า การเพิ่มขึ้นของพฤติกรรมรุนแรงและการล่วงละเมิดจากโจร กำลังกลายเป็นปัญหาร้ายแรง โดยพนักงานบางรายถูกข่มขู่ด้วยอาวุธต่างๆ จนถึงขั้นต้องออกจากงาน

Toby Ball ผู้จัดการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ของ Harrison Retail ระบุว่า แม้ว่าผู้ค้าปลีกจะพยายามอย่างเต็มที่ แต่โจรก็ยังหาวิธีใหม่ๆ ในการหลบเลี่ยงมาตรการรักษาความปลอดภัย เขายังสังเกตเห็นว่า อาชญากรรมที่มีการจัดตั้งเป็นกลุ่ม (Organized Crime) กำลังเพิ่มขึ้น โดยอาชญากรทำงานร่วมกันเพื่อขโมยสินค้าปริมาณมาก และบางครั้งก็มีการข่มขู่พนักงาน

“การสูญเสียสินค้าจำนวนมากไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อร้านค้า ซึ่งต้องลงทุนกับเทคโนโลยีความปลอดภัยและมาตรการป้องกันการสูญหาย แต่ยังส่งผลต่อลูกค้า เพราะราคาสินค้าอาจสูงขึ้นเพื่อชดเชยกำไรที่ลดลง”

Matthew Dawes หัวหน้าฝ่ายโซลูชันองค์กรของ HALOS กล่าวเสริมว่า มาตรการรักษาความปลอดภัยแบบดั้งเดิม เช่น กล้องวงจรปิด รปภ. และระบบป้องกันการโจรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (EAS) นั้นมีข้อจำกัด เพราะมักไม่สามารถป้องกันเหตุการณ์ได้แบบเรียลไทม์

“นอกจากการขโมยสินค้าแล้ว ความปลอดภัยของพนักงานก็เป็นประเด็นที่น่ากังวลมากขึ้น พนักงานค้าปลีกต้องเผชิญกับการถูกล่วงละเมิดทางวาจา การเผชิญหน้าอย่างรุนแรง และแม้กระทั่งการโจมตีโดยใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะในร้านสะดวกซื้อและร้านค้าที่ขายสินค้ามูลค่าสูง สิ่งนี้ทำให้พนักงานรู้สึกไม่ได้รับการสนับสนุน ส่งผลให้เกิดอัตราการลาออกสูง ซึ่งกระทบต่อต้นทุนการสรรหาและฝึกอบรม ลดประสบการณ์ของพนักงาน และบั่นทอนขวัญกำลังใจ”

โซลูชันรักษาความปลอดภัยที่ดีที่สุดสำหรับภาคค้าปลีก
ในขณะที่ผู้ค้าปลีกรอให้ภาครัฐดำเนินการเกี่ยวกับปัญหานี้ อุตสาหกรรมเทคโนโลยีความปลอดภัยก็กำลังพัฒนาโซลูชันที่ทันสมัยเพื่อต่อสู้กับอาชญากร

Georgia Cumming ผู้จัดการบัญชีของ DeterTech กล่าวว่า SmartWater forensic marking กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น “SmartWater สามารถพ่นใส่ผู้กระทำผิดและสินค้าได้จากระยะไกล สารนี้จะติดอยู่บนผิวหนังและเสื้อผ้านานหลายสัปดาห์ และมีอัตราการตัดสินลงโทษ 100% ในคดีที่มีการโต้แย้งในชั้นศาล”

Matthew กล่าวเพิ่มเติมว่า โซลูชันที่มีประสิทธิภาพอีกทางคือ AI และระบบตรวจจับแบบเรียลไทม์ผ่านคลาวด์ ที่สามารถช่วยให้พนักงานแทรกแซงได้ก่อนที่อาชญากรรมจะเกิดขึ้น

“กล้องติดตัว (Body-Worn Cameras – BWC) เป็นหนึ่งในเครื่องมือแนวหน้าที่มีประสิทธิภาพที่สุดในปัจจุบัน เพราะสามารถจับภาพใบหน้าที่ชัดเจนและบันทึกเสียง ซึ่งเป็นหลักฐานที่ปฏิเสธไม่ได้ โจรที่เห็นกล้องติดตัวจะต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่จะถูกจับ ทำให้เกิดแรงกดดันที่อาจทำให้พวกเขาล้มเลิกแผนการ”

Sarah ยังกล่าวว่า การแบ่งปันข้อมูลอาชญากรรมระหว่างร้านค้าปลีก เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการป้องกันอาชญากรรม

Toby สรุปว่า การแก้ปัญหาการขโมยสินค้าจะต้องเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ตำรวจ และผู้ค้าปลีก

“ผู้ค้าปลีกไม่จำเป็นต้องจัดการปัญหานี้ด้วยตัวเอง แต่ควรมีมาตรการที่สามารถขัดขวางอาชญากรได้ เช่น ระบบป้องกันสินค้าทั้งชั้นวางสินค้า แทนที่จะเน้นเฉพาะที่ตัวสินค้า”

เขาเตือนว่าผู้ค้าปลีกไม่ควรรีบลงทุนในเทคโนโลยีที่มีราคาสูงและอาจทำให้ประสบการณ์การช็อปปิ้งของลูกค้าแย่ลง ควรเลือกใช้โซลูชันที่ปรับให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของร้านค้าที่สามารถป้องกันการขโมยสินค้าได้โดยไม่รบกวนลูกค้าทั่วไป

อนาคตของความปลอดภัยในภาคค้าปลีก
Sarah คาดการณ์ว่า AI จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยระบบ AI จะสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าเพื่อตรวจจับกิจกรรมที่น่าสงสัย และใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าเพื่อติดตามผู้กระทำผิดซ้ำ

Matthew เชื่อว่า กล้องติดตัวจะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับพนักงานค้าปลีก ไม่ใช่แค่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

สุดท้าย Toby เน้นย้ำว่า การรักษาความปลอดภัยในภาคค้าปลีกต้องเป็นความร่วมมือระดับประเทศ ระหว่างร้านค้า ตำรวจ และภาครัฐ เพื่อป้องกันอาชญากรรมและสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน