การปิดตัวลงของโรงเรียนเก่าแก่หลายแห่งที่เคยเป็นเสาหลักของการศึกษาไทยกำลังส่งสัญญาณเตือนถึง “วิกฤตการณ์ทางธุรกิจ” ในอุตสาหกรรมการศึกษาอย่างชัดเจน โรงเรียนจำนวนมากที่ดำเนินกิจการมาอย่างมั่นคงต้องเผชิญกับความเสี่ยงในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป
ธุรกิจโรงเรียนในประเทศไทย จะแบ่งเป็น 1.โรงเรียนเอกชนทั่วไป 2.โรงเรียนนานาชาติ และ 3.โรงเรียนเอกชนเฉพาะทาง โดยช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาเหล่าโรงเรียนกำลังเผชิญหน้ากับสภาวะที่สุ่มเสี่ยงกับธุรกิจ นั่นคือแรงกดดันด้านจำนวนประชากรสืบเนื่องจาก อัตราการเกิดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ของประเทศไทย ทำให้ปริมาณนักเรียนใหม่เข้าสู่ระบบลดลงอย่างฮวบฮาบ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้หลักของโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชนขนาดเล็กถึงกลางที่ไม่สามารถสร้างความประหยัดจากขนาดได้ การที่จำนวนนักเรียนลดลงอย่างต่อเนื่องนี้ทำให้เกิดภาวะที่ อุปทาน (จำนวนที่นั่งเรียน) มีมากกว่า อุปสงค์ (จำนวนนักเรียน) อย่างรุนแรง และยืดเยื้อ
ต่อมาคือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคและความล้มเหลวในการปรับตัว การศึกษาในปัจจุบันต้องแข่งขันกับตลาดอื่น ๆ เช่น โรงเรียนทางเลือก, โรงเรียนนานาชาติที่มีค่าธรรมเนียมเข้าถึงง่ายขึ้น (Affordable International Schools) และแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ที่เข้ามาสร้าง Digital Disruption ผู้ปกครองในยุคนี้ไม่ได้มองหาเพียงแค่สถานที่เรียน แต่ต้องการ “ความคุ้มค่า” และ “จุดแข็งที่แตกต่าง” ในการสร้างทักษะแห่งอนาคตให้กับบุตรหลาน โรงเรียนดั้งเดิมหลายแห่งจึงไม่สามารถตอบโจทย์ความคาดหวังนี้ได้ ขณะเดียวกัน โรงเรียนเหล่านี้ต้องแบกรับ ต้นทุนคงที่ ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น เงินเดือนครูและค่าบำรุงรักษาสถานที่ ทำให้โครงสร้างทางการเงินเปราะบางลงมาก

ตัวอย่างสถานการณ์ ที่ชัดเจนคือการทยอยปิดตัวลงของ โรงเรียนเอกชนขนาดเล็กและโรงเรียนคาทอลิกเก่าแก่บางแห่ง ทั้งในเขตปริมณฑล และต่างจังหวัด ซึ่งเคยมีชื่อเสียงมานานหลายสิบปี แต่เมื่อจำนวนนักเรียนไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายก็ต้องตัดสินใจยุติการดำเนินกิจการหรือควบรวมกิจการเข้ากับเครือข่ายโรงเรียนที่ใหญ่กว่า
นี่เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่า ความภักดีต่อแบรนด์ที่สั่งสมมานานอาจไม่เพียงพอต่อการอยู่รอดอีกต่อไป หากไม่มีการลงทุนในหลักสูตรใหม่ ๆ หรือการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารจัดการต้นทุน
เมื่อดูบทวิเคราะห์ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) พบว่าแนวโน้มธุรกิจโรงเรียนนานาชาติรายได้มีโอกาสขยายตัว 9.7% และนักเรียนนานาชาติกลับมามีโอกาสขยายถึง 8.3% โดยหลักสูตรนานาชาติที่ทันสมัยยังคงหนุนให้ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติเติบโต รวมถึงจำนวนนักเรียนต่างชาติที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ อย่างนักเรียนจีนที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม เพื่อเอาตัวรอดและสร้างจุดแข็งในการแข่งขันในยุคที่จำนวนนักเรียนลดลงและเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท โรงเรียนต้องปรับเปลี่ยนสถานะจาก “สถานที่ให้ความรู้” เป็น “ผู้ให้บริการโซลูชันการเรียนรู้” กลยุทธ์ทางธุรกิจที่สำคัญในการสร้างความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็น การเน้นทักษะแห่งอนาคต ปรับหลักสูตรการเรียนการสอนที่เน้นไปที่ทักษะที่ตลอดต้องการสูง เช่น การคิดเชิงวิพากษ์ , การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน, ทักษะด้านดิจิทัล (Coding/AI Literacy) และความฉลาดทางอารมณ์ รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาช่วยประเมิน และออกแบบการเรียนรู้ที่เหมาะกับความถนัดของนักเรียนแต่ละคน
เช่นเดียวกับ การสร้างจุดแข็งที่ไม่เหมือนใคร เช่น สร้างโรงแรมสีเขียวที่เน้นด้านสิ่งแวดล้อม, ศูนย์ความเป็นเลิศด้านภาษา เพื่อหลีกเลี่ยงกับการแข่งขันกับโรงเรียนอื่น นอกจากนี้ การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อรวมทรัพยากร ลดค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อน และเพิ่มความหลากหลายของหลักสูตร หรือร่วมมือกับองค์กรเทคโนโลยีชั้นนำเพื่อนำมาแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือเข้ามาในหลักสูตรก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
ดังนั้น โอกาสในการอยู่รอดของธุรกิจโรงเรียนเก่าแก่ หรือโรงเรียนใหม่ในยุคปัจจุบันจึงขึ้นอยู่กับความสามารถในการ “พลิกบทบาท” จากผู้ให้การศึกษาแบบดั้งเดิมไปสู่การเป็นผู้ให้บริการ “โซลูชันการเรียนรู้เฉพาะทาง” ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่มีขนาดเล็กลงแต่มีความคาดหวังที่สูงขึ้นแทน
เรื่องอื่นๆ ที่น่านสนใจ
Post Views: 159