วิกฤติค่าเงินตุรกี ส่อคล้ายต้มยำกุ้งไทยปี 40


เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 ส.ค.61) ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ประกาศขึ้นภาษีเหล็กจากตุรกีเป็นสองเท่า โดยเหล็กเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 4 ของประเทศตุรกี จึงทำให้เกิดผลกระทบต่อค่าเงิน lira (ลีรา) และความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ค่าเงินตุรกีส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้น โดยค่าเงินลีราของตุรกีดิ่งลงอย่างหนักตั้งแต่วันศุกร์และอ่อนค่าลงเรื่อยมาจนถึงเมื่อวานนี้

จากเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (13 ส.ค.) โดยดัชนีสต็อกซ์ ยุโรป 600 ลดลง 0.3% ปิดที่ 384.91 จุด ดัชนีดีเอเอ็กซ์ ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,358.74 จุด ลดลง 65.61 จุด หรือ -0.53% ดัชนีซีเอซี-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดวันนี้ที่ 5,412.32 จุด ลดลง 2.36 จุด หรือ -0.04% และดัชนีเอฟทีเอสอี 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,642.45 จุด ลดลง 24.56 จุด, -0.32%

สาเหตุเนื่องจากความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบจากการทรุดตัวลงของค่าเงินลีราของตุรกีว่าอาจจะส่งผลลุกลามไปยังเศรษฐกิจและการเงินของประเทศอื่นๆ และจะกระทบต่อธนาคารยุโรป

โดยผู้สันทัดกรณีได้วิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจประเทศตุรกี ว่ามีความคล้ายคลึงกับวิกฤติต้มยำกุ้งของไทย คือเมื่อค่าเงินตก หนี้ต่างประเทศที่เคยกู้ก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบสองเท่า โครงการต่างๆ จากที่เคยคิดว่าจะกำไร ถ้าไม่ปิดความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน ก็จะกลายเป็นขาดทุนทันที และ ณ ตอนนี้หนี้ต่างประเทศเมื่อเทียบกับ GDP ของประเทศตุรกีมีมากถึง 50% ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวลมาก และตามการคาดการณ์ของ IMF ผู้ที่รับศึกหนักก็คือธนาคารกลางของประเทศ ที่ต้องขายดอลลาร์ และรับซื้อเงิน lira ต่อไป

ซึ่งทำให้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น ตอนนี้ธนาคารกลางตุรกีจึงต้องสู้กับสงครามเงินไหลออกต่อไป หากรับมือไม่ไหว ในท้ายที่สุดรัฐบาลตุรกีอาจต้องร้องขอความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และแน่นอนว่าเงื่อนไขในการขอรับความช่วยเหลือนั้นคงจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ย รวมทั้งลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาล และการแปรรูปทรัพย์สินของรัฐให้ภาคเอกชน ซึ่งเรื่องนี้มีความใกล้เคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อปี 2540