ชาตรามือ แบรนด์ชาที่ไม่เคยตกยุค เปิดธุรกิจมา 80 ปี มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เข้ากับตลาด แม้จะมีการแข่งขันรุนแรงขึ้น แต่แบรนด์ยังคงยืนหยัด พร้อมโกอินเตอร์ ขยายสาขาไปต่างประเทศ
ย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นของ “ชาตรามือ” เกิดจากธุรกิจครอบครัวจากร้านชาจีนที่นำเข้า และจำหน่ายชาจีนหลากหลายชนิด เช่น ชาอู่หลง, ชาเขียว, และชาแดง ต่อมามีการพัฒนานำชาแดงมาพัฒนาเป็น “ชาไทย” และ “ชาดำ” เสิร์ฟกับน้ำแข็ง จนได้รับความนิยม นี่จึงถือเป็นการกำเนิดแบรนด์ในปี พ.ศ. 2488
เอกลักษณ์ของเครื่องดื่มที่ทำให้เป็นที่จดจำนั่นคือรสชาติที่มีความเข้มข้น หอม โดยเฉพาะเมนูยอดฮิตของร้านอย่าง “ชาไทย” นอกจากนี้แบรนด์ยังมีเครื่องดื่มอื่น ๆ ให้ลูกค้าได้เลือก ไม่ว่าจะเป็น ชาเขียว ชาอูหลง ชากุหลาบ
ในมุมธุรกิจ ชาระดับตำนานแบรนด์นี้เป็น Soft Power ของประเทศไทยเลยก็ว่าได้จากธุรกิจขนาดเล็กสู่ธุรกิจขนาดใหญ่ มีทั้งสาขาในประเทศ และต่างแดน โดยในปี 2567 ธุรกิจสร้างรายมากกว่า 3,000 ล้านบาท ครองส่วนแบ่งทางการตลาดในไทยได้ถึง 70% และในปี 2570 ธุรกิจตั้งเป้าที่จะกวาดรายได้ให้ถึง 5,000 ล้านบาท พร้อมเป็น Global Brand อย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่าใจ และเป็นคำถามชวนสงสัย นั่นคือ “ชาตรามือ” ไม่มีการขายแฟรนไชส์ จากการหาข้อมูล พบว่าที่ไม่กลยุทธ์ขายแฟรนไชส์ในประเทศ เนื่องจากสินค้าของแบรนด์ได้กระจายทั่วประเทศ โดยจะเน้นการขยายแฟรนไชส์ในตลาดต่างประเทศมากกว่า เพราะแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน ทำให้ต้องมีพาร์ทเนอร์ท้องถิ่นเข้ามาช่วยเสริมการเติบโต
วิเคราะห์เพิ่มเติมเสริมถึงการไม่ขายแฟรนไชส์ แน่นอนว่าการขายแฟรนไชส์เรื่องสำคัญอันดับต้น ๆ คือการควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน นั่นหมายความว่าหากปิดขายแฟรนไชส์ให้ผู้ประกอบการรายอื่นนำแบรนด์ไปดำเนินการ ซึ่งอาจทำให้การควบคุมคุณภาพของสินค้าและบริการทำได้ยากขึ้น ดังนั้น แบรนด์จึงเลือกที่จะคงเอกลักษณ์ไว้ ทั้งในเรื่องจองความสดใหม่ของใบชา และมาตรฐานการบริการในแต่ละสาขาให้เป็นไปในรูปแบบเดียวกันหมด โดยการบริหารเองจะเกิดความมั่นใจมากกว่า
อีกทั้ง แบรนด์ถูกจดจำจากลูกค้าในฐานะ “ต้นตำรับ” จนเป็นภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่ง แต่ถ้าหากเปิดขายแฟรนไชส์ แล้วมีสาขาที่ไม่ทำตามมาตรฐาน สุดท้ายสิ่งที่สร้างมาตลอด 8 ทศวรรษ อาจพังได้

อย่างที่ทราบกันว่า แม้แบรนด์จะไม่ได้ขายแฟรนไชส์ แต่ก็ยังคงขยายสาขาอย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ แสดงให้เห็นว่าบริษัทมีความพร้อม และศักยภาพทางการเงินเพียงพอที่จะลงทุนและขยายกิจการด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งเงินลงทุนจากผู้ร่วมลงทุนแฟรนไชส์ โดยเฉพาะในต่างประเทศที่มีจำนวน 114 สาขา ใน 11 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง กัมพูชา พม่า มาเลเซีย บรูไน เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม รวมถึงมีแผนขยายไปอีก 4 ประเทศ ได้แก่ แคนาดา ลาว เม็กซิโก และอินโดนีเซีย เพิ่มสาขาต่างประเทศรวม 130 สาขา
เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับ “การเติบโตอย่างมีคุณภาพ” (Quality Growth) มากกว่า “การเติบโตเชิงปริมาณ” (Quantity Growth) ซึ่งเป็นแนวทางที่แบรนด์เก่าแก่ และแข็งแกร่งหลายแบรนด์เลือกใช้เพื่อรักษาคุณค่าของแบรนด์ไว้
เรื่องอื่นๆที่น่าสนใจ
Post Views: 329