มัทฉะขาดตลาด

มัทฉะขาดตลาด เพราะเหตุผลอะไร นี่คือ 6 เหตุผลคลายข้อสงสัย

ปรากฏการณ์มัทฉะขาดตลาดกลายเป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น ที่ญี่ปุ่นกำลังประสบปัญหานี้ เช่นเดียวกับประเทศไทยที่ร้านกาแฟบางแบรนด์ก็พบอุปสรรคนี้จนต้องประกาศเลิกขายเป็นการชั่วคราว จึงเป็นเรื่องชวนหาคำตอบว่าเพราะอะไรจึงเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น

สำหรับ “มัทฉะ” เป็นผงชาเขียวบดละเอียดที่ทำมาจากใบชาเขียวปลูกพิเศษ โดยมีลักษณะสีเขียวสดใส และมีปริมาณคาเฟอีนสูง จึงเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพแทนการดื่มกาแฟ ซึ่งความนิยมของมัทฉะกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถึงมีการคาดการณ์ว่าตลาดมัทฉะทั่วโลกจะเติบโตถึง 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2028 สะท้อนถึงการเติบโต 10.39% นับตั้งแต่ 2023-2028

 

 

เพราะอะไร? มัทฉะถึงขาดตลาด เรามาคำตอบกัน

ความต้องการที่เพิ่มขึ้นกับเทรนด์สุขภาพที่มาแรง

โซเชียลมีเดียเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้ “มัทฉะ” กลายเป็นที่นิยม ผ่านอินฟลูเอนเซอร์ และผู้ชื่นชอบสุขภาพมักจะทำคอนเทนต์เกี่ยวกับเครื่องดื่มมัทฉะ รวมถึงอาหารที่มีส่วนผสมของมัทฉะเพื่อแสดงให้เห็นถึงไลฟ์สไตล์เกี่ยวกับสุขภาพ เหล่านี้เพียงพอที่จะสร้างความน่าสนใจเจาะกลุ่มเป้าหมาย ทั้งกลุ่ม millennials และ Gen Z ซึ่งมีความชื่นชอบเกี่ยวกับสินค้าที่มาจากธรรมชาติ และพืช

นอกจากนี้ กลุ่มคนเหล่านี้ยังเป็นผู้นำเทรนด์ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลร่างกาย และสุขภาพแบบองค์รวมเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร รวมถึงต้องการประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร และ “มัทฉะ” ก็ตอบโจทย์เรื่องนี้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นตามร้านกาแฟ และร้านอาหารทั่วโลก

สภาพอากาศที่มีส่วนเกี่ยวข้อง

สถานการณ์ของ “มัทฉะ” ที่ขาดแคลนมาจากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้สต๊อกสินค้าที่มีอยู่ลดลงอย่างรวดเร็ว สวนทางผลผลิตที่ต้องออกมาตามฤดูกาลที่ต้องมีระยะเวลาของการเติบโต และการเก็บเกี่ยว นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศทำให้ความท้าทายเหล่านี้เลวร้ายลงเข้าไปอีก เพราะไม่สามารถคาดเดาได้จึงส่งผลกระทบต่อผลผลิต และคุณภาพของใบชาที่นำไปทำมัทฉะ

ฟาร์มขนาดเล็กดิ้นรนอย่างหนัก

ฟาร์มมัทฉะในญี่ปุ่นจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กในรูปแบบของกิจการครอบครัว แทนที่จะพึ่งพาเครื่องจักรอุตสาหกรรม แต่เกษตรกรเหล่านี้ยังคงใช้วิธีดั้งเดิมเก็บเกี่ยวผลผลิตที่มีกำลังค่อนข้างจำกัด แต่ด้วยความต้องการมัทฉะที่เพิ่มขึ้นจากกระแสโซเชียลมีเดียทำให้เป็นความท้าทายของเกษตรกรที่กำลังดิ้นรนอย่างหนักให้ทันกับความสนใจของผู้คน

ขยายขอบเขตการทำฟาร์ม

ญี่ปุ่นยังคงเป็นประเทศเดียวที่ผลิตมัทฉะคุณภาพสูง แต่ตอนนี้บริบทเริ่มเปลี่ยนแปลงไป โดยมีฟาร์มผุดขึ้นในจีน, เกาหลีใต้, ไต้หวัน, สหรัฐฯ แม้ว่าการปรับตัวให้เข้ากับวิธีการเพาะปลูกชาแบบดั้งเดิมจะเป็นกระบวนการที่ใช้เวลานาน แต่ก็ชัดเจนแล้วว่าวิธีนี้จะช่วยให้มัทฉะเพิ่มขึ้นในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายคงอยู่ที่คุณภาพ ซึ่งฟาร์มจากต่างประเทศกำลังดิ้นรนเพื่อให้ได้คุณภาพเทียบเท่าฟาร์มญี่ปุ่น โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในเรื่องการรับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการปลูกมัทฉะชั้นยอด

วิถีดั้งเดิมควบคู่กับเทคโนโลยี

ในโลกที่อุปทานมักถูกจำกัด การตัดสินใจเกี่ยวกับกลยุทธ์เกี่ยวกับสิ่งที่ผลิตนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญกับการเพิ่มผลผลิตสูงสุด ทั้งในเรื่องของกำไร และความพึงพอใจของลูกค้า นี่คือสิ่งที่เทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุน ควบคู่ไปกับวิถีดั้งเดิมที่การเก็บชาต้องเป็นไปอย่างพิถีพิถัน ตลอดจนการบดใบชาให้เป็นผงละเอียดด้วยการใช้เครื่องบดหิน

 

 

อย่างไรก็ตาม โลกยุคปัจจุบันที่ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็ว การผสมผสานประเพณีอันเป็นที่รักเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ถือเป็นสิ่งสำคัญในการรับมือกับความท้าทายในยุคสมัยปัจจุบัน

ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน

เนื่องจากสภาพอากาศมีบทบาทสำคัญในการผลิตมัทฉะคุณภาพสูง ความยั่งยืนกลายเป็นสิ่งเร่งด่วนของเรื่องนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าห่วงโซ่อุปทานมีความแข็งแกร่งกับการขยายฐานการผลิตออกไปนอกญี่ปุ่น การนำแนวทางความยั่งยืนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น การยอมรับพลังงานสะอาด และการลดการปล่อยมลพิษอย่างจริงจังสามารถลดขยะในห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดได้อย่างมาก

แนวทางนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งกับความต้องการมัทฉะที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยเรื่องนี้ได้ประโยชน์ทั้งผู้ผลิตที่สามารถปรับปรุงคุณภาพมัทฉะที่ผลิต เช่นเดียวกับผู้บริโภคที่แสดงให้เห็นว่ามัทฉะเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ ทั้งตัวบุคคล และโลกใบนี้

และนี่คือเหตุผลที่ทำให้มัทฉะขาดตลาด

ที่มา: forbes

เรื่องที่เกี่ยวข้อง