มัทฉะแก้วละ

มัทฉะแก้วละ 3,900 บาท สะท้อนกลยุทธ์ธุรกิจเรื่องอะไรบ้างที่ลูกค้าต้องรู้

กลายเป็นประเด็นให้ถูกพูดถึงบนโลกออนไลน์กับมัทฉะแก้วละ 3,900 บาท ที่มีการแสดงความคิดเห็นในเรื่องของราคาที่หลายคนมองว่าอาจจะแพงเกินไป แต่เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของลูกค้าว่าจะซื้อหรือไม่ เพราะทางร้านได้แสดงราคาให้เห็นแล้ว

 

เรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่การตั้งราคาเครื่องดื่มในอัตราที่สูงกว่าทั่วไป แต่เป็นกรณีศึกษาทางการตลาดที่มีความเฉียบคม สะท้อนการทำธุรกิจหลายด้านที่น่าสนใจ สามารถดึงดูดผู้คนให้กลายเป็นไวรัลอย่างรวดเร็ว โดยแบ่งประเด็นออกมาได้ดังต่อไปนี้

 

 

[กลยุทธ์การกำหนดราคาแบบพรีเมียมขั้นสุด]

 

นี่คือกลยุทธ์ที่ชัดเจนที่สุด คือการตั้งราคาให้สูงกว่าราคาตลาดมาตรฐานอย่างก้าวกระโดด (Skimming Price/Premium Price) เพื่อส่งสัญญาณถึงคุณภาพ ความหายาก และความพิเศษโดยทันที

 

ราคาที่สูงลิ่วถึง 3,900 บาท สร้างภาพลักษณ์ให้สินค้าเป็นของสำหรับกลุ่มลูกค้าเฉพาะ (Niche Market) ที่มีกำลังซื้อสูง และต้องการประสบการณ์ที่เหนือกว่าใคร ซึ่งจุดประสงค์อาจไม่ได้เน้นการขายปริมาณมาก แต่เน้นการสร้างมูลค่ารับรู้ที่สูงลิบ พร้อมตอกย้ำว่าชาที่ใช้เป็นเกรดที่ดีที่สุด และหายากที่สุดในโลก

 

[การสร้างความแปลกใหม่เพื่อกระตุ้นการบอกต่อ]

ราคา 3,900 บาท คือ “ตะขอ” ที่ทรงพลังที่สุดในยุคโซเชียลมีเดีย ความน่าตกใจ และความไม่สมเหตุสมผลของราคาเมื่อเทียบกับสินค้าปกติ ก่อให้เกิดคำถามและความอยากรู้อยากเห็นทันที ทั้ง “มันอร่อยขนาดนั้นเลยเหรอ?” และ “ใครจะกล้าซื้อ?” การตั้งราคานี้จึงทำหน้าที่เป็น กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณา ผู้คนต่างพูดถึงต้องแชร์ และวิพากษ์วิจารณ์ ทำให้แบรนด์และเมนูนี้กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างอย่างรวดเร็ว หรือ Brand Awareness โดยอาศัยพลังของการบอกต่อแบบปากต่อปาก และการรีวิวของอินฟลูเอนเซอร์ที่ต้องการสร้างคอนเทนต์

[การมุ่งเน้นตลาดแห่งประสบการณ์และความรู้สึก]

 

สินค้าที่มีราคาสูงไม่ได้ขายแค่ “เครื่องดื่ม” แต่ยังขาย “ประสบการณ์” ที่อยู่ในแก้วมัทฉะ 1 ใบ สร้างความรู้สึกให้กับลูกค้าทั้งในเรื่องวัตถุดิบ ขั้นตอนการชง การบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาที่ทำให้เครื่องดื่มมีจิตวิญญาณ และมูลค่าทางอารมณ์ที่เหนือกว่าใคร

 

[กลยุทธ์ “Anchor Pricing”]

ร้านค้ามักจะไม่ได้มีแค่มัทฉะราคา 3,900 บาท เท่านั้น แต่จะมีเมนูอื่น ๆ ที่มีราคาลดหลั่นลงมา (เช่น แก้วละ 300 – 500 บาท) เมนู 3,900 บาทนี้ทำหน้าที่เป็น “ราคาหลักยึด (Anchor Price)” ที่สูงมาก เมื่อลูกค้าเห็นราคานี้แล้ว ราคาเมนูอื่นที่เคยดูแพง (เช่น 500 บาท) จะดู “สมเหตุสมผล” หรือ “คุ้มค่ากว่า” ขึ้นมาทันที เป็นการสร้างความเข้าใจด้านราคาใหม่ให้กับผู้บริโภคโดยอัตโนมัติ

 

อีกทั้ง ด้วยราคาที่หลากหลายก็ทำให้ลูกค้ามีสิทธิ์ที่จะเลือกซื้อตามความชื่นชอบ หรือกำลังเงินที่มีอยู่ ไม่จำเป็นต้องซื้อมัทฉะแก้วละ 3,900 ราคาเดียว

 

เรื่ื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ